อุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นเหตุการณ์ที่ใครต่างก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว การที่เรานั้นมีประกันรถยนต์ ถือว่ามีผู้ช่วยที่คอยผ่อนหนักให้เป็นเบาจากการดูแลคุ้มครองค่าใช้จ่ายในส่วนเสียหาย และเป็นผู้จัดการในการเคลมประกันรถยนต์ในส่วนที่เสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
แต่ยังคงมีผู้ใช้รถหลายๆ ท่าน ที่อาจไม่เข้าใจในเรื่องของการเคลมประกันรถยนต์ วันนี้ไทยวิวัฒน์มีขั้นตอนในการเคลมประกันรถยนต์มาฝากทุกท่านที่ยังไม่แน่ใจ หรือยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เริ่มเลย
เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ควรทำคือการตั้งสติ จากนั้นรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของอุบัติเหตุ ความเสียหายที่เกิดขึ้น และสถานที่เกิดเหตุเพื่อโทรแจ้งไปทางศูนย์ประกันที่ได้ทำประกันรถยนต์ไว้
สำหรับการเรียกเคลมนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ ดังนี้
1. การเคลมประกันรถยนต์แบบสด
2. การเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง
หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เคลมสด’ เป็นการเคลมรถในที่เกิดเหตุ โดยจะมีพนักงานของบริษัทประกันที่เราทำไว้มาตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุทันที สามารถแยกออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1) เคลมสดแบบมีคู่กรณี
คือ กรณีที่รถชนรถด้วยกันเอง โดยพนักงานจากบริษัทประกันจะพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด โดยฝ่ายที่ผิดอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible)* ให้กับคู่กรณีก่อน ตามแต่ที่ตกลงไว้กับทางบริษัทประกัน
* ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ Deductible คือ ค่าเสียหายส่วนแรกแบบภาคสมัครใจ เป็นค่าเสียหายส่วนแรกที่ผู้ใช้รถยอมเสียให้กับบริษัทประกันภัยทุกครั้งที่มีการเคลมในอุบัติเหตุโดยที่ผู้ใช้รถเป็นฝ่ายผิด โดยในขั้นตอนการทำประกัน จะมีเงื่อนไขให้เลือกที่จะจ่ายค่า Deductible หรือไม่ ซึ่งถ้ายอมจ่ายจะช่วยลดเบี้ยประกันตามจำนวนค่า Deductible ที่ระบุไว้ เช่น เบี้ยประกันรายปี 10,000 บาท แต่หากคุณระบุว่า ยินดีจ่ายค่า Deductible ทุกครั้งที่เกิดเหตุแล้วคุณเป็นฝ่ายผิด 2,000 บาท ซึ่งจะไปหักลบกับเบี้ยประกัน ทำให้ต้องจ่ายเพียง 8,000 บาทเท่านั้น
2) เคลมสดแบบไม่มีคู่กรณี
คือ กรณีที่รถของผู้ถือประกันชนเข้ากับสิ่งของหรือวัตถุจนเกิดความเสียหายมาก เช่น ชนต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า โดยกรณีนี้ผู้ถือประกันจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Excess)** ก่อนเสมอ
** ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ Excess คือ ค่าเสียหายส่วนแรกแบบภาคบังคับ ซึ่งมีระบุไว้ในเงื่อนไข โดยมีข้อกำหนดว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้ใช้รถจะต้องรับผิดชอบร่วมกับบริษัทประกันภัย โดยต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรกประมาณ 1,000 บาท ต่อครั้ง (แม้จะมีประกันชั้น1 ก็ต้องจ่าย) และมักจะไม่เกิน 8,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งในบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดความเสียหายหนัก หรือหลายรอย โดยขึ้นอยู่กับกรณีดังนี้
- อุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการชน หรือรถพลิกคว่ำ
- อุบัติเหตุที่ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้
1. เตรียมกรมธรรม์เอาไว้ให้พร้อมและโทรแจ้งไปที่ศูนย์ประกันของคุณ แจ้งหมายเลขกรมธรรม์ ชื่อ ทะเบียนและยี่ห้อรถ ตำแหน่งที่เกิดเหตุ และรายละเอียดเหตุการณ์ โดยจะมีตัวแทนจากบริษัทประกันออกมาเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์
2. เตรียมเอกสารต่าง ๆ ไว้สำหรับยื่นเรื่อง คือ บัตรประชาชน ใบขับขี่ กรมธรรม์ และเล่มทะเบียนรถ
3. การประเมินเหตุการณ์ เกิดขึ้นเมื่อประกันมาถึง หากเป็นกรณีที่มีคู่กรณีจะต้องตรวจสอบด้วยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกหรือผิด โดยฝ่ายที่ผิดอาจต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก เพื่อเยียวยาคู่กรณีก่อน ตามแต่ที่ตกลงไว้กับทางบริษัท
4. หลังจากที่ตรวจสอบเหตุการณ์และประเมินค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทประกันจะออกใบประเมินความเสียหายให้ผู้ถือประกันนำรถไปเคลมกับอู่ซ่อมรถในเครือบริษัทได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม
หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เคลมแห้ง’ เป็นการเคลมหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่ง (ไม่เกิน 2-3 วัน) มักจะเกิดจากอุบัติเหตุเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุแบบเบาๆ โดยผู้ถือประกันต้องสามารถระบุรายละเอียดว่าเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร วันที่เท่าไหร่ สถานที่ไหน ชนเข้ากับอะไร แล้วจึงแจ้งเคลมกับบริษัทประกันของตนเอง
ซึ่งการเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง สามารถเคลมได้เพียงประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น และครอบคลุมไปถึงการเคลมรอบคัน ซึ่งเป็นการเก็บรายละเอียดร่องรอยต่างๆ รอบตัวรถให้กับคุณ ตามเงื่อนไขความคุ้มครองกรมธรรม์
1. ถ่ายรูปความเสียหาย สถานที่เกิดเหตุ รวมถึงบันทึกเวลาและที่เกิดเหตุไว้ให้ชัดเจน
2. ติดต่อไปยังศูนย์ประกันพร้อมแจ้งความเสียหาย เพื่อนัดให้พนักงานเข้ามาตรวจดูความเสียหายว่าตรงกับที่แจ้งไปหรือไม่
3. หลังจากตรวจสอบความเสียหายเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทประกันภัยจะออกใบประเมินความเสียหายให้ โดยสามารถส่งไปเคลมได้ในศูนย์ซ่อมรถยนต์ในเครือของบริษัทประกันได้ทันที
1. ใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมาย เช่น ขนส่งยาเสพติด หรือปล้นทรัพย์สิน
2. ใช้แต่งซึ่งเพื่อนำไปแข่งขัน ซึ่งเป็นการใช้รถยนต์ผิดประเภท แถมยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
3. อุบัติเหตุที่ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดเกินกว่า 150 มิลลิกรัม หรือก็คือ เมาแล้วขับนั่นเอง
4. นำรถไปใช้งานแบบลากจูง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้รถยนต์ผิดประเภทที่จะทำให้รถยนต์เสียหายโดยไม่ได้เกิดจากการใช้รถแบบปกติ
5. นำรถไปใช้นอกอาณาเขตคุ้มครอง คือ การขับขี่รถออกไปนอกประเทศนั่นเอง แต่หากจำเป็นต้องเอาไปสามารถแจ้งกับทางบริษัทประกันได้แล้วแต่กรณี
6. อุบัติเหตุจากสงคราม การปฏิวัติต่อต้าน อาวุธปรมาณู และความเสียหายจากกัมมันตภาพรังสี
สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการคุ้มครอง ดูแลรถยนต์ของคุณจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ และขอแนะนำประกันรถยนต์ดีๆ จากประกันภัยไทยวิวัฒน์ ที่มีให้เลือกตามไลฟ์สไตล์และการใช้รถของคุณ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Claim Status ที่แจ้งสถานะการเคลมในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุผ่านแอปพลิเคชัน Thaivivat หมดปัญหาการตามเรื่องเคลมบ่อยๆ รายละเอียด คลิก https://www.thaivivat.co.th/th/products_car.php หรือโทร 02-200-7000